เผยแพร่เมื่อ : อังคาร 12 ตุลาคม 2564 โดย อภิญญา พูลทรัพย์ จำนวนผู้เข้าชม 1 คน
น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้
พระราชทานนามราชมงคล
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่ชาว ราชมงคลเป็นล้นพ้น กล่าวคือ หากย้อนไปเมื่อสมัย ๓๐ ปีก่อน วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาได้ก่อตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติ “วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา พุทธศักราช ๒๕๑๘” โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๘ มีฐานะเป็นกรมในสังกัดระทรวงศึกษาธิการ เป็นสถาบันการศึกษาและวิจัย มีวัตถุประสงค์เพื่อผลิตครูอาชีวศึกษาระดับปริญญาตรี ทำการวิจัยส่งเสริมการศึกษาทางด้านวิชาชีพและให้บริการทางวิชาการแก่สังคม
เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๕ รอบและด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงเมตตาต่อวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล โดยเสด็จฯ มาพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยด้วยพระองค์เองทุกครั้ง ยังความปลื้มปิติและซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ สภาวิทยาลัย ฯ เห็นสมควรขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตอัญเชิญพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นตราสัญลักษณ์ของวิทยาลัยฯ ตามหนังสือสำนักราชเลขาธิการลงวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๓๑ ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานนาม “สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล” ซึ่งหมายความว่า สถาบันเทคโนโลยีอันเป็นมิ่งมงคลแห่งพระราชา และเปลี่ยนชื่อพระราชบัญญัติวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา พุทธศักราช ๒๕๑๘ เป็นพระราชบัญญัติสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล พุทธศักราช ๒๕๑๘ และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ วันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๓๒ และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๓๒ เป็นต้นมา
ราชมงคลล้านนา ตราสัญลักษณ์
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ได้อัญเชิญตราสัญลักษณ์ของสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล มาเป็นเครื่องหมายราชการมีลักษณะเป็นตรารูปวงกลมมีดอกบัว ๘ กลีบล้อมรอบ หมายถึงทางแห่งความสำเร็จมรรค ๘ และความสดชื่น เบิกบานที่ก่อให้เกิดปัญญาแผ่ขจรไปทั่วสารทิศ ภายในดอกบัวเป็นดวงตราพระราชลัญจกรบรรจุอยู่ อันเป็นสัญลักษณ์และเครื่องหมายประจำองค์พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๙ ซึ่งพระองค์ท่านได้พระราชทานนาม “ ราชมงคล” บนตรารูปวงกลมมีพระมหาพิชัยมงกุฎครอบและมีเลข ๙ บรรจุอยู่ หมายถึงรัชกาลที่ ๙ ด้านล่างของตรารูปวงกลมทำเป็นกรอบโค้งรองรับ มีชื่อมหาวิทยาลัยบรรจุอยู่ภายในว่า “มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา” คั่นปิดหัวท้ายของกรอบด้วยลวดลายดอกไม้ทิพย์ประจำยามทั้งสองข้าง ซึ่งเป็นเครื่องหมายราชการของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล
มิ่งมหามงคลแห่งบัณฑิต
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อมหาวิทยาลัยอย่างต่อเนื่องและยาวนาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล อดุลยเดช ได้เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานในการพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา ณ อาคารใหม่สวนอัมพรเป็นครั้งปฐมฤกษ์ ในวันที่ ๒๙ – ๓๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๒๔ ยังความปลื้มปิติและความภาคภูมิใจแก่บัณฑิตและคณาจารย์อย่างหาที่สุดมิได้ ที่นักเรียนสายอาชีวศึกษาสำเร็จเป็นบัณฑิตแล้วมีโอกาสรับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
การพระราชทานปริญญาบัตรครั้งที่ ๒ ปีพุทธศักราช ๒๕๒๗ และครั้งที่ ๓ ปีพุทธศักราช ๒๕๓๐ นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี จากนั้น
การพระราชทานปริญญาบัตร ครั้งที่ ๔ เมื่อวันที่ ๑๙-๒๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้เสด็จมาเพียงพระองค์เดียว ซึ่งเป็นการพระราชทานปริญญาบัตรในนาม “สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล”
ต่อมาการพระราชทานปริญญาบัตร ครั้งที่ ๕ ปีพุทธศักราช ๒๕๓๔ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์เป็นครั้งแรกและต่อเนื่องเป็นประจำทุกปีจวบจนปัจจุบัน
ซึ่งในการพระราชทานปริญญาบัตร ครั้งที่ ๑๑ ปีพุทธศักราช ๒๕๔๐ ได้เปลี่ยนสถานที่จัดพิธีจากอาคารใหม่สวนอัมพร เป็นหอประชุมใหญ่ศูนย์กลางสถาบัน ฯ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี จนถึงถึงปีพุทธศักราช ๒๕๔๘ “สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล” ได้สถาปนาขึ้นเป็น “มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล” ดังนั้นพิธีพระราชทานปริญญาบัตรครั้งที่ ๑๙ วันที่ ๑๓-๑๕ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๘ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ได้เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานพิธีซึ่งนับว่าเป็นการจัดพิธีในนามมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลเป็นครั้งแรก
การพระราชทานปริญญาบัตรแต่ละครั้ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ได้พระราชทานพระบรมราโชวาทแก่บัณฑิต ที่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตและการทำงาน เพื่อ กระตุ้นจิตสำนึกให้บัณฑิตนำความรู้ความสามารถไปใช้ สร้างสรรค์พัฒนาสังคมอย่างเต็มกำลังความรู้ความสามารถ ด้วยความวิริยะ อุตสาหะ ดังพระบรมราโชวาทที่พระราชทานแก่บัณฑิต เมื่อครั้งปฐมฤกษ์ ในวันที่ ๒๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๒๔ ความตอนหนึ่งว่า “...บัณฑิตแต่ละคนที่สำเร็จการศึกษาแล้วจึงมีหน้าที่รับผิดชอบเกิดขึ้นผูกพันทันที ในอันที่จะต้องทำประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองตามความถนัดของตน ข้าพเจ้าใคร่จะทำความเข้าใจกับทุกคนว่า ประโยชน์หรือการสร้างสรรค์ในสิ่งที่ดีนั้น จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการลงมือทำ หมายความว่าจะต้องนำความรู้ความสามารถที่มีอยู่นั้นมาใช้งาน ลงมือเมื่อไหร่เพียงใด ประโยชน์จะเกิดขึ้นเมื่อนั้น เพียงนั้น เมื่อยังไม่ลงมือทำประโยชน์ก็ยังไม่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นถึงหากจะมีความรู้ความสามารถมากมายสักเพียงใด ถ้าไม่ลงมือทำ ก็ปราศจากประโยชน์ บ้านเมืองของเราเวลานี้อยู่ในสภาวะที่ต้องพัฒนาหรือปรับปรุงตัวเองอย่างรวดเร็วในทุกๆทาง เพื่อให้สามารถก้าวไปทันผู้อื่นเขาได้อย่างมั่นคงและปลอดภัยทุกคน โดยเฉพาะผู้มีความรู้ จึงต้องขวนขวายทำงานให้เต็มกำลัง…”
พิธีพระราชทานปริญญาบัตร ครั้งที่ ๒๑ วันที่ ๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีได้พระราชทานพระราโชวาทแก่บัณฑิตว่า “ การให้การศึกษานั้น มีเป้าหมายสำคัญที่จะปลูกฝังความเจริญงอกงามให้แก่บุคคล ให้พร้อมทุกด้าน คือให้มีความรู้ในวิชาการสาขาใดสาขาหนึ่ง และให้มีคุณธรรมความดีประกอบอยู่ด้วย เพื่อเป็นรากฐานส่งเสริมให้บุคคลสามารถปฏิบัติงานสร้างสรรค์ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความรู้กับคุณธรรมนี้เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องฝึกฝนอบรมให้เกิดมีเสมอกัน ทั้งจำเป็นต้องใช้ควบคู่กันเสมอ มิฉะนั้นจะหวังผลอันพึงประสงค์ไม่ได้ ข้อนี้ถ้าพิจารณาให้ดี ก็จะเห็นจริงว่า คนที่มากด้วยความรู้ความสามารถแต่ขาดคุณธรรมนั้น เป็นภัยเพียงใด คนดีเปี่ยมคุณธรรมแต่ขาดความรู้ความเฉลียวฉลาดก็ไม่อาจทำงานใหญ่ที่สำคัญ ๆ ให้สำเร็จได้เช่นกัน จึงขอให้บัณฑิตทุกคนได้ศึกษาเรื่องความรู้ และคุณธรรมที่กล่าวมาให้ทราบชัด แล้วฝึกหัดอบรมให้มีสมบูรณ์พร้อมขึ้นในตน จักได้ปฏิบัติตน ปฏิบัติงานทุกอย่าง ให้บังเกิดเป็นประโยชน์อันแท้จริงทั้งแก่ตนและแก่ส่วนรวมต่อไป ”
นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ล้นเกล้าล้นกระหม่อมทั้งสองพระองค์ทรงมีต่อบัณฑิต ตลอดจนนักศึกษา ข้าราชการและคณาจารย์ ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ที่จะขอน้อมรับใส่เกล้าใส่กระหม่อม อัญเชิญไว้เป็นเครื่องเตือนใจและนำไปปฏิบัติให้สัมฤทธิผลตามพระราชประสงค์และพระประสงค์ เพื่อประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองสืบไป
สนองงานตามแนวพระราชดำริ
ราชมงคลล้านนา จัดตั้งศูนย์พัฒนาโครงการหลวง
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งโครงการหลวงขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2512 เริ่มต้นเป็นโครงการส่วนพระองค์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อความกินดีอยู่ดีของประชาชน ในระยะเริ่มต้น โครงการหลวงจึงเริ่มดำเนินงานวิจัยเพื่อทดลองการปลูกไม้ผลเมืองหนาวที่มีความเหมาะสมกับพื้นที่สูงของประเทศไทยและได้ตั้งสถานีเกษตรหลวงอ่างขางเพื่อเป็นสถานีทดลองการปลูกพืชเมืองหนาวชนิดต่างๆ ในบริเวณหุบเขาสูงของดอยอ่างขาง ตำบลม่อนปิน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่
“ศูนย์ความร่วมมือมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีเพื่อมูลนิธิโครงการหลวงและกิจกรรมวิชาการ” เกิดขึ้นภายใต้กรอบการทำงาน “วิศวกรรม พลังงานและสิ่งแวดล้อมเพื่องานเกษตรกรรม” (Engineering Energy and Environment for Agriculture : 3Es for A) เพื่อสนับสนุนกิจกรรมของโครงการหลวงและมูลนิธิโครงการหลวง โรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูป ตั้งแต่ปี พ.ศ.2545 มูลนิธิโครงการหลวงประกอบด้วยสถานีวิจัยและศูนย์พัฒนาโครงการหลวงจำนวน 38 แห่ง ในเขตจังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน พะเยาและลำพูน ใน 20 อำเภอ 275 หมู่บ้านและประชากร 100,000 คน ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 2,000 ตารางกิโลเมตร เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรมีรายได้ พัฒนาปัจจัยพื้นฐานและคุณภาพชีวิตของเกษตรกรด้านการศึกษา สังคม สาธารณสุข วิจัยพืชและปศุสัตว์เมืองหนาว และถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่เกษตรกร
เฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา
ในวโรกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ ครบ ๖๐ ปี และมีพระชนมายุครบ ๘๐ พรรษา ในปีพุทธศักราช ๒๕๕๐ ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ได้ระดมสรรพกำลังอาจารย์ นักวิชาการ ศิลปินและบุคลากรทุกส่วน จัดสร้างแจกันศิลปกรรมเฉลิมพระเกียรติ จำนวน ๙ ใบ ขนาดฐานกว้าง ๘๐ เซนติเมตร สูง ๑ เมตร ๑๐ เซนติเมตร กว้าง ๕๕ เซนติเมตร พร้อมจารึกพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจในด้านต่าง ๆ ประกอบบทร้อยกรองเฉลิมพระเกียรติตามลำดับเหตุการณ์ ดังนี้
แจกันใบที่ ๑ “เมื่อครั้งทรงพระเยาว์”
ธ ทรงเป็นร่มเกล้าชาวสยาม เสด็จสู่เขตคามสวัสดิศรี
ประสูติในราชวงศ์จักรี นฤบดีภูมิพลล้นเกล้าไทย
แจกันใบที่ ๒ “สืบราชสันตติวงศ์”
ราชาภิเษกพระผ่านเกล้าเจ้าชีวิต ทศทิศนบองค์ทรงพิศาล
ครองแผ่นดินโดยธรรมนำบันดาล พระภูบาลประกาศก้องทั่วสากล
แจกันใบที่ ๓ “พระคู่บารมี”
รัตนนารีศรีสยาม ทรงพระนามสิริกิติวิจิตรสมัย
พระมิ่งขวัญเคียงคู่ภูวนัย ปวงข้าไทยแซ่ซ้องสดุดี
แจกันใบที่ ๔ “เย็นศิระ ธ คุ้มเกล้า”
เย็นศิระ ธ ป้องปกเกศ จอมนเรศอภิบาลบันดาลผล
พระมิ่งขวัญดุจเทพบันดาลดล นิกรดลนิราศทุกข์สุขด้วยกัน
แจกันใบที่ ๕ “องค์อัครศาสนูปถัมป์”
พระเมตตาปรานีต่อทวยราษฎร์ บำรุงศาสน์บำรุงเขตพิเศษศานติ์
พุทธธรรมล้ำค่ามาประทาน คุ้มครองบ้านเมืองเย็นอยู่เป็นไท
แจกันใบที่ ๖ “พระอัจฉริยภาพ”
งามพระอัจฉริยะศิลป์ ภูวนาถเอกองค์ธำรงศิลป์
รังสรรค์งานแบบอย่างศิลปิน จอมนรินทร์ขวัญเกล้านิกรชน
แจกันใบที่ ๗ “พระบิดาแห่งการประดิษฐ์ไทย”
ธ ทรงเป็นแบบอย่างของนักคิด ธ ประดิษฐ์นวัตกรรมนำสมัย
ดิน น้ำ ฝน พัฒนาเกษตรไทย ให้ก้าวไกลแกร่งกล้าสู่สากล
แจกันใบที่ ๘ “เทิดไท้เหนือเกล้าชาวไทย”
รอยพระบาทยาตรายังจารึก น้อมสำนึกพระเมตตามหาศาล
เย็นศิระเพราะพระบริบาล ทั่วสถานถิ่นแคว้นแผ่นดินไทย
แจกันใบที่ ๙ “เสด็จออกมหาสมาคม”
หกสิบปี ธ ครองราชย์ชาติยิ่งใหญ่ ประชาไทยปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
เศรษฐกิจพอเพียงเลี้ยงชีวัน สมานฉันท์สังคมอยู่ร่มเย็
คลังรูปภาพ : น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้
ออกแบบและพัฒนาโดย สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา